Angkor Wat สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เรามีสถานที่ท่องเที่ยวแหล่งประวัติศาตร์ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมาฝากค่ะ ซึ่งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านเรานี่เอง สถานที่แห่งนั้นก็คือ ปราสาทนครวัด (Angkor Wat) ประเทศกัมพูชานั่นเอง ซึ่งเราเองเคยไป ณ ที่แห่งนี้มาแล้ว อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ให้ทุกคนได้รับรู้ไปด้วยกัน ถ้าอย่างนั้นก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับประวัติความเป็นมาของปราสาทนครวัดกันก่อนเลยดีกว่าค่ะ ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ถ้าพร้อมแล้วไปพิสูจน์พร้อมกันเลยค่ะ
เมื่อขึ้นไปถึงกำแพงชั้นที่ 4 แล้ว มีระเบียงที่มีหลังคาคลุมเชื่อมถึงกันเป็นสี่เหลี่ยมและเชื่อมกับปราสาทประธานจากซุ้มประตูแต่ละทิศ ทำให้ด้านบนสุดของปราสาทมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมและมีกากบาทอยู่ตรงกลาง.
ตัวปราสาทประธานสูงจากพื้นดินประมาณ 60 เมตร มีประตูเข้า-ออกทั้งสี่ด้านแต่ปัจจุบันตรงกลางก่อปูนทึบปั้นเป็นพระพุทธรูปประทับยืนแสดงปางประทานอภัย (แบบกัมพูชา) ประดับไว้ (ปั้นในสมัยหลังแล้ว อาจเป็นสมัยนักองค์จัน)
ที่ผนังของปราสาทประธานทำสูงต่ำและยกมุมไล่ระดับ ตามที่ว่างประดับด้วยภาพนูนต่ำเป็นนางอัปสรในกิริยาต่าง ๆ
ความเป็นมาและความสําคัญ
ปราสาทนครวัด ตั้งอยู่ที่เมืองเสียมเรียบ
ในประเทศกัมพูชา
สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในพุทธศตวรรษที่ 16-17 เพื่อบูชาพระวิษณุ
และเป็นศาสนสถานประจําพระนครของพระองค์
เมื่อสมัยแรกนั้นนครวัดได้ถูกสร้างเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู
ลัทธิไวษณพนิกาย
แต่ต่อมาในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้เปลี่ยนให้เป็นวัดในศาสนาพุทธนิกายมหายาน
ในปัจจุบันปราสาทนครวัดนับเป็นสิงก่อสร้างสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา
ซึ่งนครวัดมีความแตกต่างจากปราสาทเขมรหลังอื่นในเรื่องของการวางทิศประธานที่หันไปทางทิศตะวันตกแทนที่จะเป็นทิศตะวันออก
สรุปได้ว่าพระเจ้าสุริยวรรมันนั้นประสงค์ที่จะสร้างปราสาทแห่งนี้ขึ้นให้เป็นปราสาทที่เก็บพระบรมศพของพระองค์แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานอืน
ๆ ที่ได้จากการศึกษาภาพสลักนูนตํ่าที่เรียงลําดับเรื่องราวในทิศทวนเข็มนาฬิกา
ซึ่งต่างไปจากเทวสถานฮินดูทั่วไป
โดยพิธีกรรมต่าง ๆ
ของพราหมณ์ในพิธีพระบรมศพก็ยังจัดขึนแบบย้อนลําดับอีกด้วย
แนวคิดที่ว่าปรางค์ประธานตรงกลางนั้นเหมาะสมที่สุดในการทําพิธีจัดการกับพระบรมศพ
เพราะเชื่อกันว่าเปรียบเสมือนศูนย์รวมของพลังอํานาจทั้งปวง
นักวิชาการบางคนได้ระบุว่าปราสาทหลายหลังในเมืองพระนครเองก็ไม่ได้หันหน้าไปทางทิศตะวันออกตามธรรมเนียมเสียหมด
และอีกประเด็นหนึ่งนครวัดมีการวางทิศเช่นนี้ก็เพราะปราสาทหลังนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระวิษณุ
ซึ่งเป็นเทพเจ้าประจําทิศตะวันตก
ลักษณะปราสาทนครวัด มีขนาดใหญ่ถึง 200,000 ตารางเมตร
ตัวปราสาทสูง 60 เมตร
ยาว 100 เมตร
กว้าง 80 เมตร
มีแผนผังที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม
มีปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติของศูนย์กลางจักรวาล
มีกําแพงด้านนอกยาวด้านละ 1.5 กิโลเมตร
มีคูนํ้าล้อมรอบตามแบบมหาสมุทรบนสวรรค์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ
โดยมีหินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก
แผนผังปราสาทนครวัด
เป็นแบบแกนวิ่งเข้าหาจุดศูนย์กลาง เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในศิลปะขอม หันหน้าไปทางทิศตะวันตก มีกำแพงล้อมรอบ 4 ชั้น ก่อนถึงปราสาทประธาน กำแพงด้านนอกสุดมีคูน้ำที่ล้อมรอบทั้งสี่ด้าน คูน้ำกว้าง 100 เมตร ด้านทิศตะวันตกมีสะพานนาคทอดข้ามคูน้ำเข้ามาที่กำแพงชั้นนอก มีซุ้มประตู (โคปุระ) 5 ประตู 3 ประตู อยู่แนวตรงกลางอีก 2 ประตู อยู่ด้านข้างสุดปลายระเบียงคด เจาะลึกระดับพื้นดิน (คงทำไว้ให้ช้างและเกวียนสามารถผ่านเข้า-ออกได้) กำแพงชั้นที่ 2 (จากด้านนอก) อยู่ลึกเข้ามา มีทางเดินเชื่อมระหว่างกำแพงชั้นนอกและชั้นที่ 2 ยาว 350 เมตร.
เป็นแบบแกนวิ่งเข้าหาจุดศูนย์กลาง เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในศิลปะขอม หันหน้าไปทางทิศตะวันตก มีกำแพงล้อมรอบ 4 ชั้น ก่อนถึงปราสาทประธาน กำแพงด้านนอกสุดมีคูน้ำที่ล้อมรอบทั้งสี่ด้าน คูน้ำกว้าง 100 เมตร ด้านทิศตะวันตกมีสะพานนาคทอดข้ามคูน้ำเข้ามาที่กำแพงชั้นนอก มีซุ้มประตู (โคปุระ) 5 ประตู 3 ประตู อยู่แนวตรงกลางอีก 2 ประตู อยู่ด้านข้างสุดปลายระเบียงคด เจาะลึกระดับพื้นดิน (คงทำไว้ให้ช้างและเกวียนสามารถผ่านเข้า-ออกได้) กำแพงชั้นที่ 2 (จากด้านนอก) อยู่ลึกเข้ามา มีทางเดินเชื่อมระหว่างกำแพงชั้นนอกและชั้นที่ 2 ยาว 350 เมตร.
ระเบียงคดชั้นที่ 2 มีเส้นรอบวงยาว 800 เมตร มีผนังด้านเดียว ก่อทึบ ขัดเรียบสลักภาพนูนต่ำไว้หมดทุกด้าน มีบางด้านที่สลักขึ้นใหม่ในสมัยหลัง (สมัยนักองค์จัน ราวพุทธศตวรรษที่ 21) คือด้านทิศเหนือปีกตะวันออก และด้านทิศตะวันออกปีกเหนือ (มีจารึกบอกไว้ที่ใกล้ซุ้มประตูทางด้านทิศตะวันออก)
ระหว่างกำแพงชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 มีพื้นที่ว่างไม่มาก (ห่างกันราว ๆ 20 เมตร) แต่ฐานของกำแพงชั้นที่ 3 ถูกยกสูงขึ้นไปมาก มีบันไดที่ซุ้มประตูแต่ละด้านแต่ละทิศสูงชันและแคบมาก.
กำแพงชั้นที่ 3 ไม่ปรากฎภาพสลักนูนต่ำเหมือนชั้นที่ 2 มีเพียงผนังด้านนอกและด้านในที่สลักเป็นรูปนางอัปสร จัดวางไว้เป็นระยะไม่ต่อเนื่อง สลับกับหน้าต่างที่เจาะทะลุมีลูกกรงลูกมะหวดประดับไว้ระหว่างกำแพงชั้นที่ 3 และชั้นที่ 4 มีบันไดที่สูงชันและแคบขึ้นลงได้ทางด้านทิศตะวันออกและตะวันตกด้านละ 3 ทาง ด้านทิศเหนือและทิศใต้ด้านละทางเดียว.เมื่อขึ้นไปถึงกำแพงชั้นที่ 4 แล้ว มีระเบียงที่มีหลังคาคลุมเชื่อมถึงกันเป็นสี่เหลี่ยมและเชื่อมกับปราสาทประธานจากซุ้มประตูแต่ละทิศ ทำให้ด้านบนสุดของปราสาทมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมและมีกากบาทอยู่ตรงกลาง.
ตัวปราสาทประธานสูงจากพื้นดินประมาณ 60 เมตร มีประตูเข้า-ออกทั้งสี่ด้านแต่ปัจจุบันตรงกลางก่อปูนทึบปั้นเป็นพระพุทธรูปประทับยืนแสดงปางประทานอภัย (แบบกัมพูชา) ประดับไว้ (ปั้นในสมัยหลังแล้ว อาจเป็นสมัยนักองค์จัน)
ที่ผนังของปราสาทประธานทำสูงต่ำและยกมุมไล่ระดับ ตามที่ว่างประดับด้วยภาพนูนต่ำเป็นนางอัปสรในกิริยาต่าง ๆ

ทับหลัง
เป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ สลักรูปบุคคลขนาดเล็ก มหาเทพ เทพเจ้า สัตว์ต่าง ๆ ตามที่ปรากฎในมหากาพย์ของศาสนาฮินดู (อาทิ รามายณะ, มหาภารตะ, นารายณ์อวตาร ฯ) บ้างก็เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ ท่อนพวงมาลัยยังปรากฎอยู่ แต่เริ่มต้นจากจุดกึ่งกลางด้านล่างของทับหลังวกขึ้น แล้วฉีกออกด้านข้าง แล้ววกลงอีกครั้งหนึ่ง
เป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ สลักรูปบุคคลขนาดเล็ก มหาเทพ เทพเจ้า สัตว์ต่าง ๆ ตามที่ปรากฎในมหากาพย์ของศาสนาฮินดู (อาทิ รามายณะ, มหาภารตะ, นารายณ์อวตาร ฯ) บ้างก็เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ ท่อนพวงมาลัยยังปรากฎอยู่ แต่เริ่มต้นจากจุดกึ่งกลางด้านล่างของทับหลังวกขึ้น แล้วฉีกออกด้านข้าง แล้ววกลงอีกครั้งหนึ่ง
เสาประดับกรอบประตู
เป็นเสาแปดเหลี่ยม เพิ่มจำนวนวงแหวนที่คาดมากขึ้น ทำให้แบ่งเสาเป็นแปดส่วน มีพื้นที่ให้สลักลายใบไม้ประดับเสาน้อย ใบไม้จึงลดขนาดใบเล็กลงแต่มีจำนวนใบถี่ขึ้นเป็นฟันเลื่อย (สลักตามขนาดของพื้นที่)
เป็นเสาแปดเหลี่ยม เพิ่มจำนวนวงแหวนที่คาดมากขึ้น ทำให้แบ่งเสาเป็นแปดส่วน มีพื้นที่ให้สลักลายใบไม้ประดับเสาน้อย ใบไม้จึงลดขนาดใบเล็กลงแต่มีจำนวนใบถี่ขึ้นเป็นฟันเลื่อย (สลักตามขนาดของพื้นที่)
รูปแบบศิลปะ
ปราสาทนครวัด เป็นสถาปัตยกรรมเขมรรูปแบบคลาสสิกที่สําคัญที่สุด
ซึ่งชื่อเรียกรูปแบบศิลปะในสมัยคลาสสิกนี้เรียกกันว่า
“ศิลปะนครวัด” สถาปัตยกรรมของนครวัดก่อสร้างโดยการรวมเอาลักษณะการสร้างปราสาทให้เสมือนภูเขา
เข้ากับแบบผังของอาคารในสมัยหลังที่มีการทําระเบียงคดล้อมจุดศูนย์กลาง
ปราสาทแห่งนี้ได้รับการยกย่องเหนือปราสาทหลังอื่นๆ เนื่องด้วยความกลมกลืนของการออกแบบ มอริส เกรซ นักอนุรักษ์ของปราสาทนครวัดในช่วงศตวรรษที่ 20 ได้ระบุว่า ปราสาทหลังนี้ “ได้บรรลุถึงความสมบูรณ์แบบที่คลาสสิกด้วยการเป็นอนุสรณ์แห่งองค์ประกอบที่มีความพอดีอย่างประณีต มีการจัดสัดส่วนที่แม่นยำ เป็นผลงานที่เปี่ยมไปด้วยพลัง มีความเป็นหนึ่งเดียว และเต็มไปด้วยลีลา
ทุกคนก็ได้ทราบกันแล้วนะคะ เกี่ยวกับปราสาทนครวัด แต่ถ้าจะดีกว่านี้ เราอยากให้ทุกคนได้ลองไปสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง แล้วทุกคนจะได้เห็นปราสาทนครวัดสมัยเมืองประนคร ว่ามีความงดงาม ใหญ่โตมากขนาดไหน เรารู้สึกประทับใจมากจากที่ได้ไปมาแล้ว เพราะฉะนั้นทุกคนก็ไม่ควรพลาดที่จะไปย้อนรอยประวัติศาสตร์กันที่ ปราสาทนครวัดแห่งนี้กันนะคะ ^ ^
อ้างอิงแหล่งที่มา
- Wikipedia.(2561).นครวัด.สืบค้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2561 , จาก https://th.wikipedia.org/wiki/94
- Grand Avatan.(ม.ป.ป.).ปราสาทนครวัด.สืบค้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2561 , จาก http://www.grandavatan.com/94-211.html
- ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร.(ม.ป.ป.).ปราสาทนครวัด.สืบค้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2561 , จาก http://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/architectureth/94.html
- Human Excellence.(2561).นครวัด.สืบค้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2561 , จาก http://huexonline.com/knowledge/26/181/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น